วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558


เวตาล



เรื่องย่อนิทานเวตาล ๑๐ เรื่อง
                นิทานย่อยที่ผู้ประพันธ์กำหนดให้เวตาลตัวละครสำคัญในนิทานเรื่องใหญ่เป็นผู้เล่า  มีทั้งหมด ๒๕ เรื่อง  กรมหมื่นพิทยาลงกรณทรงเลือกมาแปล ๑๐ เรื่อง มีเรื่องย่อดังนี้

 นิทานเรื่องที่ ๑  
พระวัชรมุกุฎโอรสของพระราชาแห่งกรุงพาราณสีทรงม้าเสด็จออกเที่ยวล่าเนื้อในป่าพร้อมด้วยพุทธิศริระพระสหาย  พบนางปัทมาวดีธิดาท้าวทันตวัตเกิดความพอพระทัย  นางปัทมาวดีกระทำกิริยาบอกโดยนัยให้ทรงทราบเรื่องเกี่ยวกับนาง  พุทธิศริระช่วยพระมุกุฎตีความและดำเนินการจนพระวัชรมุกุฎได้นางเป็นชายาลับๆ  พระวัชรมุกุฎด้อยปัญญากว่านางจึงต้องพึ่งพุทธิศริระอยู่ตลอดเวลา  นางปัทมาวดีออกอุบายฆ่าพุทธิศริระ  แต่พุทธิศริระรู้ทันจึงซ้อนอุบายจนนางถูกพระบิดาขับไล่ออกจากเมือง  เวตาลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าเรื่องนี้ควรติโทษใครมากที่สุด  พระวิกรมาทิตย์ตรัสตอบเวตาลหัวเราะแล้วก็บินกลับไปอยู่ที่เดิม


นิทานเรื่องที่ ๒ 
 พระรามเสน  พระราชบุตรของพระราชาธิบดีแห่งเมืองโภคาวดี  ทรงมีนกแก้วตัวหนึ่งชื่อจุรามัน  นกตัวนี้พูดภาษาสันสกฆตคล่องและเฉลียวฉลาด  ฝ่ายนางจันทราวดี  ธิดาท้าวมคเธศวรแห่งเมืองมคธ  มีนกขุนทองชื่อว่า  โสมิกา  พูดสันสกฤตคล่องและมีความรู้มากเช่นกัน  ทั้งสองได้อภิเษกสมรสกันแล้วไปอยู่ ณ เมืองโภคาวดี  นางจันทราวดีได้นำนกขุนทองไปด้วย  พระรามเสนโปรดให้ปล่อยนกทั้งสองตัวรวมกรงใหญ่กรงเดียวกัน  นกทั้งคู่ทะเลาะกัน  ถกเถียงด้วยเรื่องหยิงและชายว่าใครชั่วกว่ากัน  นกแต่ละตัวได้เล่านิทานประกอบเหตุผลของตน  แต่ก็ไม่สามารถัดสินใจได้  เวตาลจึงทูลถามพระวิกรมาทิตย์ให้ทรงตัดสิน  พระองคืตรัสตอบ  เวตาลจึงลอยออกจากย่ามกลับไปอยู่ที่เดิม


นิทานเรื่องที่ ๓
 ท้าวรูปเสนพระราชาแห่งเมืองโศภาสดี  มีข้าใช้ใกล้ชิดชื่อ  สุรเสน  สุรเสนได้พาวีรพลผู้ซึ่งมีความชำนาญการรบและซื่อสัตย์เข้าเฝ้าพระราชา  พระราชาทรงอนุญาตให้วีรพลรับข้าราชการอารักขาและรับใช้ใกล้ชิด  วันหนึ่งนางราชลักษมี นางฟ้าผู้เกิดจากเกษียรสมุทร  ได้สำแดงตัวต่อวีรพลและทำนายว่าท้าวรูปเสนจะสิ้นพระชนม์  แต่วีรพลสามารถช่วยได้โดยตัดศีรษะบุตรของตนบูชาพระเทวะรูปซึ่งประจำอยู่ที่สาลแห่งหนึ่งวีรพลได้ปฎิบัติตามคำทำนาย  แล้วทุกคนในครอบครัวก็ฆ่าตัวตายตามกัน  พระราชาได้แอบทอดพระเนตรอยู่เห็นดังนั้นก็คว้าดาบขึ้นมาจะประหารพระองค์เอง  แต่เทวรูปพระเทวียึดพระหัตถ์ไว้และให้ขอพรตามประสงค์  ท้าวรูปเสนได้ขอชีวิตให้ทุกคนคืนชีวิต  แล้วทุกคนก็ฟื้นคืนชีวิตดังเดิม  เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าใครโง่ที่สุด  พระองคืตรัสตอบ  เวตาลจึงลอยออกจากย่ามกลับไปที่เดิม

  นิทานเวตาลเรื่องที่ ๔  
หิรัณยทัตต์พ่อค้ามีบุตรีงามชื่อนางมันทนเสนา  เมื่อถึงอายุอันควร  บิดามารดาก็ตรึกตรองเรื่องการวิวาห์ ได้มีชาย ๔ คน จากเมือง ๔ เมืองมาขอนางมัทนเสนาเป็นภรรยา  พ่อค้าจึงให้ชายทั้ง ๔ แสดงความสามารถ ความรู้  แล้วจึงตัดสินใจเลือกชายคนที่ ๓ เพราะอยู่วรรณะเดียวกัน  ในระหว่างที่เตรียมการวิวาห์นั้น  นางมัทนเสนาได้พบกับโสมทัตต์บุตรพ่อค้าชื่อ ธรรมทัตต์  โสมทัตต์หลงรักนางจนอยากฆ่าตัวตาย  นางจึงให้สัญญาว่า  ในวันวิวาห์นางจะไปหาโสมทัตต์ก่อนแล้วจึงจะย้อนกลับไปหาสามี  ครั้นวันวิวาห์และส่งตัว  นางได้เล่าให้สามีฟัง  สามีอนุญาตให้นางไปหาโสมทัตต์ได้  ระหว่างทางนางได้พบโจรจึงได้ขอร้องโจรมิให้เอาเครื่องประดับไป  โดยสัญญาว่าจะนำมาให้เมื่อกลับจากหาโสมทัตต์  แต่เมื่อไปถึง  โสมทัตต์สิ้นรักนางเพราะทราบว่านางมีสามีแล้ว  นางมัทนเสนาจึงเดินทางกลับและนำเครื่องประดับมาให้โจร  โจรไม่รับแต่กลับชมนาง  เมื่อนางกลับถึงบ้านสามีได้สิ้นรักนางแล้ว  เวตาลทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่าชายทั้ง ๓  คนนี้ใครดีที่สุด  พระวิกรมาทิตย์เผลอตรัสตอบ  เวตาลก็ลอยออกจากย่ามตามเคย


      นิทานเวตาลเรื่องที่ ๕  
ที่เมืองมาลยะมีโจรขโมยชุกชุม  ประชาชนเดือดร้อนจึงเข้าไปเฝ้าพระราชารันธีระ  พระราชาทรงรับว่าจะจัดการให้สิ้นความเดือดร้อนโดยได้ปลอมพระองค์เป็นโจรในเวลากลางคืน  ได้รู้จักหัวหน้าโจรและโจรอีกมากมาย  ทรงกำหนดไว้ว่าจะมากวาดล้างในภายหลังแล้วเสด็จหนีกลับวัง  ในคืนถัดไปพระราชาเสด็จออกจับโจร  ทรงจับนายโจรและกำหนดประหารชีวิต  ขณะที่ขบวนประหารผ่านไปทางบ้านเศรษฐี  ลูกสาวเศรษฐีชื่อนางโศภนีเห็นนายโจรเข้าก็หลงรักจึงให้บิดาไปขอไถ่โทษนายโจร  แต่ไม่สำเร็จ  ก่อนประหารมีผู้เล่าเรื่องนางโศภนีให้นายโจรฟัง  นายโจรก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศกและหัวเราะอย่างร่าเริงสลับกันไป  เมื่อนายโจรถูกประหารแล้ว  นางโศภนีได้เผาตัวเองตายตาม  บิดาก็ฆ่าตัวตายตามบุตรี  เวตาลเล่ามาถึงเพียงนี้  พระธรรมธวัชพระโอรสของพระวิกรมาทิตย์ที่ตามเสด็จมาด้วย  ทูลถามพระบิดาว่านายโจรหัวเราะเพราะเหตุใด  เมื่อพระวิกรมาทิตยืตรัสตอบ  เวตาลได้ทีก็กล่าวขอบคุณ  แล้วอธิบายข้อสงสัยแก่พระธรรมธวัชก่อนจากไป


นิทานเวตาลเรื่องที่ ๖  
ที่กรุงธรรมสถล  พราหมณ์เกศวะเดิมมีนิสัยพาลแต่กลับตัวได้  เกศวะมีบุตรีชื่อ มธุมาลตี  เป็นหญิงงาม เกศวะ  ภรรยา และบุตรชาย ซึ่งเป็นพี่ของนางมธุมาลตี  ต่างตกลงยกนางให้แก่ชายหนุ่มแต่ละคนที่ตนพอใจ  เมื่อไม่ทราบว่าจะต้องตัดสินใจยกนางให้แก่ชายคนใดดี  เกศวะจึงให้ชายหนุ่มทั้งสามมาประชันความรู้กัน  ขณะที่เกศวะยังลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้นั้น  พอดีมีงูพิษมาฉกนางมธุมาลตีตาย  เมื่อเกศวะเผาศพลูกสาวแล้ว  ชายหนุ่มทั้งสามตกลงใจจะเที่ยวดั้นด้นต่อไป  ชายคนที่ ๑ จึงเก็บเอาห่อกระดูกนางเรียงเข้าใส่ห่อ  ชายคนที่ ๒  กวาดเอาเถ้าถ่านที่เผาศพนางรวมเข้าเป็นห่อ  ชายคนที่ ๓  บวชเป็นโยคี  ทั้งสามคนได้เที่ยวไปตามทางของตน  ชายคนที่ ๓ ไปได้วิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น  ทั้งสามคนได้กลับมาพบกัน ณ ป่าช้าที่เผาศพนาง  แล้วทำพิธีชุบชีวิตนางจากกระดูกและเถ้าถ่านที่ชายคนที่ ๑ และ ๒ รักษาไว้  เมื่อนางฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็เกิดปัญหาอีกว่านางควรจะได้วิวาหะกับชายคนใด  เวตาลจึงทูลให้พระวิกรมาทิตย์ตัดสิน  แต่เมื่อทรงตัดสินแล้ว  เวตาลก็หัวเราะก้องฟ้าลอยไปแขวนอยู่ที่ต้นอโศกเช่นเคย


นิทานเวตาลเรื่องที่ ๗ 
นางจันทร์ประภาพระธิดาท้าวสุพิจารแห่งเมืองกุสุมาวดีเกิดความรักใคร่กับมนัสวีหนุ่มบุตรพราหมณ์ทันทีที่ได้สบตากัน  ทั้งสองทนพิษความรักไม่ไหว  ได้สลบไป  มนัสวีได้สลบอยู่นานจนมีพราหมณ์ผู้มีวิชาสองคน  คือ ศศีและมูลเทวะมาพบเข้า   มูลเทวะตกลงช่วยมนัสวีและพามายังบ้านตนแล้วให้ลูกอมแก่มนัสวี   เมื่ออมอยู่ในปากจะกลายเป็นหญิงสาว  เมื่อคายออกจะกลายเป็นหนุ่มดังเดิม   ส่วนมูลเทวะอมอีกลูกหนึ่งให้กลายเป็นพราหมณ์แก่แล้วพามนัสวีเข้าวังไปขอฝากไว้กับท้าวสุพิจารโดยทูลว่าเป็นภรรยาของบุตรตน  ท้าวสุพิจารโปรดให้มนัสวีอยู่กับพระธิดา  ทั้งสองจึงได้อยู่ร่วมกัน  วันหนึ่งมนัสวีได้ตามเสด็จท้าวสุพิจารไปบ้านมหาอำมาตย์   บุตรโกษาธิยดีได้พบก็หลงรักจึงให้บิดาไปทูลขอมนัสวีจากพระราชา  มนัสวีจึงต้องไปอยู่บ้านโกษาธิบดี   วันหนึ่งอมลูกอมพลาดลื่นลงไปในลำคอไม่สามารถแปลงเป็นหญิงได้จึงหลบหนีไป  ศศีทราบดังนั้นจึงออกอุบายที่จะได้พระธิดามาเป็นภรรยา  มูลเทวะจึงให้ศศีอมลูอมกลายเป็นพราหมณ์หนุ่มแล้วพาเข้าวัง  มูลเทวะทูลพระราชาว่าบุตรชายได้กลับมาแล้วจะขอรับภรรยาคืน  พระราชาจำต้องยกพระธิดาให้แก่ศศีตามคำขู่ของมูลเทวะ  เมื่อมนัสวีทราบจึงตามไปขอพระธิดาจาดศศีคืนโดยอ้างว่าเป็นภรรยาตน   เวตาลแสดงความเห็นว่าแม้จะไม่มีใครเป็นพยานให้มนัสวีแต่คนก็คงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง   พระวิกรมาทิตย์ไม่โปรดเช่นนั้นจึงทรงแสดงความเห็นคัดค้าน   เวตาลจึงได้โอกาสกลับไปยังต้นอโศกอีกครั้งหนึ่ง


นิทานเรื่องที่ ๘   
พระยศเกตุราชาแห่งแคว้นองคะ  สดับเรื่องนางทิพย์ที่ทีรฆะทรรศินผู้เป็นมุขมนตรีเล่าถวาย  มีพระหฤทัยใคร่ได้นางมาเป็นชายา  จึงแต่งพระองค์เป็นดาบสออกเดินทางไปพบลักษมีทัตต์พ่อค้าแล้วเสด็จลงเรือไปด้วย  ได้พบนางทิพย์นั่งดีดพิณและขับลำนำบนต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งมีกิ่งก้านเป็นทองคำ  โผล่ขึ้นมาเหนือคลื่นน้ำแห่งท้องทะเลแล้วหายไปโดยเร็วดังคำบอกเล่า  จึงตั้งใจอธิฐานต่อพระสมุทร  ขอให้สมหวังในความรักแล้วทรงโจมลงน้ำได้ทอดพระเนตรเห็นเมืองอันวิจิตรและนางทิพย์ในเมืองนั้น  จึงได้มีความสุขอยู่ร่วมกัน   วันหนึ่งพระยศเกตุได้แอบทอดพระเนตรเห็นรากษสจับนางทิพย์กลืนกินจึงชักพระแสงดาบฟันรากษสคอขาด   ก็เห็นนางออกมาจากกายรากษสโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ   จึงตรัสถามนางว่าเพราะเหตุใด   คำถามนั้นเองทำให้นางพ้นคำสาปและระลึกชาติได้  นางทูลเล่าว่านางเป็นธิดาของเมืองนี้  ถูกบิดาสาปแล้วพระบิดาได้หนีไปอยู่เขานิษธในโลกมนุษย์   เมื่อนางพ้นคำสาปนางจะต้องรีบไปเฝ้าพระบิดาแต่พระยศเกตุทรงขอให้นางอยู่ต่ออีก ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๗  ก็ตรัสชวนนางเข้าไปในห้องที่มีอ่างแก้วอันเป็นประตูสู่โลกมนุษย์   แล้วทรงกอดนางพาโจมลงอ่างไปผุดขึ้นในสระอุทยานแคว้นองคะ   เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์พ้น ๗ วัน  นางจะกลับคืนสู่พวกตนก็เหาะไม่ขึ้นจึงต้องอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป  ฝ่ายทีรฆะทรรศินเมื่อทราบเรื่องก็เฝ้าแต่ตรึกตรองเรื่องนี้จนดับชีวิตไปด้วยความเสียใจ   เล่าจบเวตาลทูลถามว่าทีรฆะทรรศินเสียใจตายเพราะเหตุใด  พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็น  พระวิกรมาทิตย์ทรงคัดค้าน  เวตาลก็ลอยกลับไปอยู่ที่ต้นอโศกตามเดิม

            

นิทานเรื่องที่ ๙  
นางมุกดาวลี  บุตรพราหมณ์หริทาส  มีความงามเลื่องลือไปทุกทิศ  มีชายหลงรักมากมาย  ได้มีชายสี่คนมาขอไปเป็นภรรยา  ทริทาสจึงมาแสดงความรู้ประชัน  คนที่  ๑  และ  ๒  ไม่เป็นที่พอใจจึงเชิญกลับึ  คนที่  ๓  คุณากร  และคนที่  ๔  รัตนทัตต์  ให้มาประชันกันใหม่  แล้วพราหมณ์หริทาสก็ตัดสินใจยกนางให้รัตรทัตต์  มาหเสนีชายคนที่  ๑  ทราบเรื่อง  ก็มาพาลพูดว่าหากไม่ได้นางเป็นภรรยาจะฆ่าตัวตาย  รัตนทัตต์จึงประชดบอกให้ทำตามที่พูด  มหาเสนีจึงฆ่าตัวตายแล้วเป็นรากษสมาพานางไปไว้ที่ยอดเขาหิมาลัย  รัตนทัตต์ขอให้คุณากรช่วย  ทั้งสองตามนางกลับมาได้  แล้วพานางไปอยู่ที่บ้านของรัตนทัตต์  คุณากรสัณณาว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนจึงติดตามไปด้วย  ระหว่างทาง  คืนหนึ่งนางมุกดาวลีฝันร้ายจึงเล่าให้สามีฟัง  รัตนทัตต์ทำนายว่าจะเกิดเหตุร้าย  จึงหยิบด้ายออกมาเส้นหนึ่งตัดออกเป็นสามเส้น  แจกกันคนละเส้น  อธิบายว่าถ้าเกิดเหตุเป็นภัยแก่ร่างกายให้ผูกเชือกเข้าไปที่แผลก็จะหาย  แล้วสอนมนต์ชุบคนตายให้คืนชีพแก่ภรรยาและเพื่อน  ไม่นานทั้งสามก็พบพวกกิราตะ  เกิดสู้รบกัน  รัตนทตต์และคุณากรถูกคัดศรีษะขาด  นางมุกดาวลีเมื่อได้สติแล้วได้นำศรีษะกับตัวของชายทั้งสองมาติดต่อกันแล้วทำพิธีชุบชีวิต  แต่ด้วยนางมีความตื่นตระหนกอยู่จึงทำให้ต่อตัวกับศรีษะของชายทั้งสองสลับกัน  เมื่อชุบชีวิตแล้วฟื้นแล้วจึงเกิดปัญหาโต้เถียงกัน  ไม่อาจตัดสินได้ว่านางเป็นภรรยาของใคร  พระธรรมธวัชทรงนึกขันจึงทรงพระสรวลขึ้น  พระวิกรมาทิตย์ไม่สู้พอพระทันักจึงทรงอธิบายแพระโอรสเวตาลแสดงความเห็นโต้แย้ง  แล้วก็กลับไปอยู่ที่ตันอโศก

                 

   นิทานเรื่องที่ ๑๐ 
 ท้าวมหาพล  พระราชาแห่งกรุงธรรมปุระมีมเหสีที่ยังดูสาว  เทียบกับพระธิดาแล้วก็ราวพี่น้อง  เมื่อเกิดสงครามท้าวมหาพลได้พานางทั้งสองหนีไป  ผ่านหมู่บ้านภิลล์ซึ่งเป็นหมู่บ้านโจร  เกิดการต่อสู้กัน  ท้าวมหาพลสิ้นพระชนม์  นางทั้งสองหนีไปได้  ฝ่ายพระราชาจันทรเสรกับพระราชบุตรทรงม้าล่าสัตว์ไปตามแนวป่า  ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าสตรีสองคนจึงทรงตกลงกันว่าพระราชาเลือกนางผู้มีรอยเท้าใหญ่  พระราชบุตรจะเลือกนางผู้มีรอยเท้าเล็กมาเป็นชายา  ครั้งเสด็จไปพบพระมเหสีและพระธิดาแห่งท้าวมหาพลแล้วจึงทรงรับนางทั้งสองไปอภิเษก  ปรากฎว่าพระราชาจัทรเสนอภิเษกกับพระธิดา  และพระราชบุตรอภิเษกกับพระมเหสีแห่งท้าวมหาพล  เล่าถึงเพียงนี้  เวตาลก็ตั้งปัญหาว่าบุตรธิดาที่เกิดแต่คู่อภิเษกทั้งสองคู่นี้จะนับญาติกันอย่างไร  พระวิกรมาทิตย์ทรงตรึกตรองแต่ก็ไม่ทรงตอบประการใด  ในที่สุดก็เสด็จนำเวตาลถึงป่าช้า    บริเวณประกอบพิธีของโยศีศานติศีล

             




หัวใจชายหนุ่ม

ประวัติผู้แต่ง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๖  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์  เสด็จพระราชสมภพ  เมื่อวันเสาร์ที่   ๑   มกราคม   พ.ศ. ๒๔๒๓ ทรง เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้รับพระราชทานนามว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ  และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี  ทำให้ทรงมีพระเกียรติยศเป็นชั้นที่ ๒ รองจาก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช  เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร เมื่อพ.ศ. ๒๔๓๖ทรงได้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษทรงได้ศึกษาวิชาการทหารบก  ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนเฮิสต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ ต่อมาได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชา ประวัติศาสตร์และกฎหมาย   ที่วิทยาลัยไครสต์เชิช มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด  การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กระทำเป็นสองคราว คราวแรกเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร  เมื่อวันที่  ๑๑  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๔๕๓  อีกคราวเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช  ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่  ๒๘พฤศจิกายน  ถึง  วันที่   ๑๐  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๔๕๔  โดยมีบรรดาผู้แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ของประเทศที่มีสัมพันธไมตรีกับประเทศไทย  กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นตัวแทนของประมุขประเทศต่างๆ 
 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระราชธิดาพระองค์เดียว จากพระนางเจ้าสุวัทนา 
 พระวรราชเทวี ซึ่งประสูติเมื่อวันที่   ๒๔  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๔๖๘   ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน  เมื่อวันที่   ๒๖  พฤศจิกายน   พ.ศ.  ๒๔๖๘   เวลา  ๑  นาฬิกา ๔๕  นาที  พระชนมพรรษาเป็นปีที่ ๔๖  เสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้  ๑๕  พรรษา
ด้านการศึกษา
ได้ทรงริเริ่มสร้างโรงเรียนขึ้นแทนวัดประจำรัชกาล ได้แก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว    ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ในระดับอุดมศึกษา เมื่อปี พ.ศ.  ๒๔๕๙   ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือน
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย
ด้านการเศรษฐกิจ 
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคลังออมสินพุทธศักราช  ๒๔๕๖  ขึ้น  เพื่อให้ประชาชนรู้จักออมทรัพย์และเพื่อความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจของประเทศ  ทรงริเริ่มก่อตั้ง
บริษัทปูนซิเมนต์ไทยขึ้น

ด้านการคมนาคม
ได้ทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๖๐  ทรงตั้งกรมรถไฟหลวง และเริ่มเปิดการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่  สายใต้จากธนบุรีถึงไปเชื่อมกับปีนังและสิงคโปร์  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม ๖ เพี่อเชื่อมทางรถไฟในพระราชอาณาจักร

ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย 
ทรงโปรดศิลปะการแสดงโขน  ละคร  จึงได้ทรงตั้ง กรมมหรสพ ขึ้นเพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย   และยังได้ทรงสร้างโรงละครหลวง    ไว้ในพระราชวังทุกแห่ง นอกจากนี้  ยังทรงสนพระราชหฤทัยด้านจิตรกรรม  สถาปัตยกรรมไทย

ด้านการต่างประเทศ 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราช-โองการประกาศสงครามกับประเทศฝ่ายเยอรมัน  ซึ่งประกอบด้วย ออสเตรีย – ฮังการี  บัลกาเรีย และตุรกี      ซึ่งเป็นกลุ่มมหาอำนาจกลาง     โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร  ซึ่งประกอบด้วยประเทศอังกฤษ  ฝรั่งเศส  และรัสเซียเป็นผู้นำ  เมื่อวันที่  ๒๒  กรกฏาคม  พ.ศ.  ๒๔๖๐  พร้อมทั้งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ     ให้ส่งทหารไทยอาสาสมัครไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรปด้วย   ผลของสงครามประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ  ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเจรจากับประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ  ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม คือ สนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และสนธิสัญญาจำกัดอำนาจการเก็บภาษีของประเทศไทย

ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข 
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์และ วชิรพยาบาล  และได้เสด็จฯ ไปทรงเปิดสถานเสาวภา  เมื่อวันที่  ๗  ธันวาคม  พ.ศ. ๒๔๖๕  และทรงเปิดการประปากรุงเทพฯ  เมื่อ วันที่  ๑๔  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๔๕๗ 


ด้านกิจการเสือป่าและลูกเสือ 
ได้ทรงจัดตั้ง กองเสือป่า ขึ้นเมื่อ วันเสาร์ที่  ๖  พฤษภาคม  พ.ศ.  ๒๔๕๔  และทรงจัดตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงคือ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน 

ด้านการฝึกสอนระบอบประชาธิปไตย 
ทรงได้ศึกษาวิชาการปกครองระบอบนี้มาจากประเทศอังกฤษ ได้ทรงทดลองตั้ง เมืองมัง หลังพระตำหนักจิตรลดาเดิม  ทรงจัดให้เมืองมัง  มีระบอบการปกครองของตนเอง  ตามวิถีทางประชาธิปไตย รวมถึงเมืองจำลอง ดุสิตธานี ในพระราชวังดุสิต  ซึ่งต่อมาทรงย้ายไปพระราชวังพญาไท 

ด้านวรรณกรรมและหนังสือพิมพ์ 
ได้ทรงเริ่มงานประพันธ์ตั้งแต่ทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ  พระราชนิพนธ์ของพระองค์มีทุกประเภท  ตั้งแต่ โขน ละคร พระราชดำรัส พระบรมราชานุศาสนีย์  เทศนาปลุกใจเสือป่า  นิทาน  มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส  ซึ่งเต็มไปด้วย   ข้อคิดและคำคม วรรณกรรมของพระองค์ท่านจะสอนให้รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์    ทรง ส่งเสริมให้มีการแต่งหนังสือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสร พระราชนิพนธ์ที่ได้รับการพิจารณายกย่อง  คือ     หัวใจนักรบ ด้านละครพูด     มัทนะพาธาด้านคำฉันท์   และพระนลคำหลวง ด้านกวีนิพนธ์ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ก็ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงเป็นทั้ง   นักประพันธ์  กวี  และ นักแต่งบทละคร ได้ทรงเป็นปราชญ์สยามคนที่ ๕ ประชาชนได้ถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า สำหรับด้านงานหนังสือพิมพ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตรา พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร พ.ศ. ๒๔๖๕ ขึ้น

หัวใจชายหนุ่ม เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยใช้
พระ นามแฝงว่า รามจิตติ  เพื่อ พระราชทานลงพิมพ์ ในหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิต เมื่อ พ.ศ. 2464 ลักษณะการพระราชนิพนธ์เป็นรูปแบบของจดหมาย มีจำนวน 18 ฉบับ รวมระยะเวลาที่ปรากฏตามจดหมายทั้งหมด 1 ปี 7 เดือน 
พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงสร้างตัวละครเอกขึ้นโดยสมมติให้มีตัวตนจริง คือ ประพันธ์ ประยูรสิริ  เป็นผู้ถ่ายทอดความนึกคิดและสภาพของสังคมไทยผ่านมุมมองของ ชายหนุ่ม (นักเรียนนอก) ในรูปแบบของจดหมายที่ส่งถึงเพื่อนชื่อ ประเสริฐ สุวัฒน์  โดยทรงพระราชนิพนธ์ชี้แจงไว้ในคำนวนิยาย


ลักษณะการแต่ง

หัวใจชายหนุ่มเป็นร้อยแก้วในรูปแบบของจดหมายโดยมีข้อควรสังเกตสำหรับรูปแบบจดหมายทั้งหมด 18ฉบับในเรื่อง ดังนี้
                1).หัวจดหมาย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 246- จนถึงฉบับสุดท้ายวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 246- จะเห็นว่ามีการเว้นเลขท้ายปี พ.ศ.ไว้
2).คำขึ้นต้นจดหมาย ทั้ง 18 ฉบับ ใช้คำขึ้นต้นเหมือนกันหมด คือ “ถึงพ่อประเสริฐเพื่อนรัก”
3).คำลงท้าย จะใช้คำว่า “จากเพื่อน...” “แต่เพื่อน...” แล้วตามด้วยความรู้สึกของนายประพันธ์ เช่น “แต่เพื่อนผู้ใจคอออกจะยุ่งเหยิง” (ฉบับที่ 10) มีเพียง 9 ฉบับเท่านั้น ที่ไม่มีคำลงท้าย
4).การลงชื่อ ตั้งแต่ฉบับที่ 14 เป็นต้นไปใช้บรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทาน คือ “บริบาลบรมศักดิ์”โดยตลอด แต่ฉบับที่ 1-13 ใช้ชื่อ “ประพันธ์
5).ความ สั้นยาวของจดหมาย มีเพียงฉบับที่ 14 เท่านั้นที่มีขนาดสั้นที่สุด เพราะเป็นเพียงจดหมายที่แจ้งไปยังเพื่อนว่าตนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์

จุดมุ่งหมาย

1.เพื่อให้รู้ถึงวิถีชีวิตของชายหนุ่มไทย
2.แสดงให้เห็นวิธีเขียนจดหมายที่ถูกต้อง
3.สื่อถึงพระราชดำหริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
4.เข้าใจในความรักของหนุ่มสาวในอดีต
5.รับรู้การแต่งบทประพันธ์ที่ถูกต้องและถูกต้องตามหลักการ
6.สื่อการแต่งงานแบบคลุมถุงชนในอดีต
7.สื่อถึงประเพณีการแต่งงานกับชาวต่างชาติว่าแตกต่างกับคนไทยอย่างไร
8.สื่อ ถึงชายหนุ่มที่เมื่อไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเวลานานอาจแสดงพฤติกรรมของ วัฒนธรรมตะวันตกแต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถลืมวัฒนธรรมของถิ่นกำเนิดตัวเองได้


เนื้อเรื่อง

ฉบับที่ 1
                นาย ประพันธ์ ประยูรสิริ ได้ส่งจดหมายถึงนายประเสริฐ สุวัฒน์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน เป็นฉบับแรก เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงการเดินทางกลับมายังประเทศไทยจากลอนดอนของนาย ประพันธ์ นอกจากนั้นยังบรรยายถึงความเสียใจที่ไปกลับประเทศไทยและการดูถูกบ้านเกิด เมืองนอนของตนเอง และได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับภายในเรือโดยสาร คือ ได้พบปะกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตนเองสนใจ แต่ต้องผิดหวังเนื่องจากหล่อนมีหวานใจมารอรับ  ที่ท่าเรืออยู่แล้ว
ฉบับที่ 4
                จดหมายในฉบับที่ 4 นี้กล่าวถึง การกลับมาถึงประเทศไทย และการเข้ารับราชการ   ซึ่งใช้เส้นแต่ไม่สำเร็จผล นอกจากนี้คุณพ่อของนายประพันธ์ได้หาภรรยาไว้ให้นายประพันธ์แล้ว หล่อนชื่อ กิมเน้ย เป็นลูกสาวของนายอากรเพ้ง ซึ่งพ่อของนายประพันธ์รับรองว่าเป็นคนดีสมควรแก่นายประพันธ์ด้วยประการทั้ง ปวง แต่ด้วยนายประพันธ์เป็นนักเรียนนอก จึงไม่ยอมรับเรื่องการคลุมถุงชน จึงได้ขอดูตัวแม่กิมเน้ย ก่อน นอกจากนั้นในจดหมายได้เล่าถึง การพบปะกับผู้หญิง   คนหนึ่งที่ตนถูกใจที่โรงพัฒนากรด้วย
 ฉบับที่ 5
จดหมายฉบับที่ 5 กล่าวถึง การได้เข้ารับราชการของนายประพันธ์ นายประพันธ์ได้เข้ารับราชการในกรม-พานิชย์และสถิติพยากรณ์ และนายประพันธ์ได้พอกับแม่กิมเน้ย หน้าตาของหล่อนเหมือนนายซุนฮูหยิน แต่ก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจของนายประพันธ์ นอกจากนั้นนายประพันธ์ได้เล่าถึงผู้หญิงที่เจอในโรงพัฒนากร หล่อนชื่อนางสาวอุไร พรรณโสภณ เป็นลูกสาวของพระพินิฐพัฒนากร

 ฉบับที่ 6
 จดหมายฉบับที่ 6 กล่าวถึง การได้นับพบแม่อุไร การไปเที่ยวในระหว่างงานฤดูหนาว   ทุก วัน ทุกคืน และได้บรรยายถึงรูปร่างลักษณะองแม่อุไร ว่าเป็นคนสวยน่ารัก และกล่าวว่า แม่อุไรงามที่สุดในกรุงสยาม แม่อุไรมีลักษณะเหมือนฝรั่งมากกว่าคนไทย มีการศึกษาดี โดยสิ่งที่  นายประพันธ์ชอบมากที่สุดคือ การเต้นรำ ซึ่งแม่อุไรก้อเต้นรำเป็นอีกด้วย
 ฉบับที่ 9
                จดหมายฉบับที่ 9 กล่าวถึง การแต่งงานการแม่อุไรโดยรีบรัด เนื่องจากสาเหตุการนัดพบเจอกันบ่อยครั้ง จนทำให้แม่อุไรตั้งครรภ์ขึ้นมา การสู่ขอนั้นคุณพ่อได้ไปขอให้ท่านเจ้าคุณมหาดเล็กไปสู่ขอ หลังจากแต่งงานทั้งคู่ได้ไปฮันนี่มูนที่หัวหินด้วยกัน.
ฉบับที่ 11  
ประพันธ์กลับกรุงเทพได้ 3 อาทิตย์ มาอยู่ที่บ้านใหม่ บ้านใหม่ที่เขาคิดว่าไม่มีความสุขเลย ประพันธ์ได้เล่าให้พ่อประเสริฐฟังถึงตอนที่อยู่เพชรบุรีว่า ได้ทะเลาะกับแม่อุไร แล้วเลยกลับกรุงเทพ มีเรื่องขัดใจ มีปากเสียงกันตลอดขากลับ เมื่อมาถึงที่บ้านใหม่ ก็ต้องมีเรื่องให้ทะเลาะกัน แม่อุไร ไม่อยากจัดบ้านขนของ เพราะถือตนว่าเป็นลูกผู้ดี และนอกจากนั้นก็มีเหตุให้ขัดใจกันเรื่อยๆ ไม่ว่าประพันธ์จะทำอะไร แม่อุไรก็มองว่าผิดเสมอ
ฉบับที่ 12
แม่ อุไรได้แท้งลูก และสิ้นรักประพันธ์แล้ว แต่ประพันธ์ก็ยังทนอยู่กับแม่อุไร ยอมฝืนรับชะตากรรม แม่อุไรชอบไปเที่ยวและชอบไปคนเดียว พอประพันธ์ถามว่าไปไหน แม่อุไรก็โกรธฉุนเฉียว นานเข้าห้างร้านต่างๆก็ส่งใบทวงเงินมาที่ประพันธ์ ประพันธ์จึงเตือนแม่อุไร แต่แม่อุไรกลับสวนกลับมาว่า ประพันธ์ไม่สืบประวัติของเธอให้ดีก่อน และเธอก็จะไม่ปรับเปลี่ยนตัวเอง ประพันธ์จึงต้องไปขอเงินพ่อเพื่อใช้หนี้ ต่อมาพ่อของประพันธ์จึงลงแจ้งความในหนังสือพิมพ์   เรื่อง จะไม่ชดใช้หนี้ให้แม่อุไร เมื่อแม่อุไรเห็นแจ้งความ จึงลงย้อนกลับบ้าง แล้วแม่อุไรก็กลับไปอยู่บ้านพ่อของเธอ คุณหลวงเทพปัญหามาหาประพันธ์ คุยเรื่องต่างๆกัน รวมถึงเรื่องแม่อุไร ที่เที่ยว อยู่กับพระยาตระเวนนคร ด้วยความเป็นห่วงแม่อุไร จึงส่งจดหมายไปกล่าวเตือน แต่ถูกฉีก  เป็นชิ้นๆ กลับมา ต่อมาหลวงเทพก็มาหาประพันธ์ เพื่อบอกว่าแม่อุไรไปค้างบ้านพระยา                   ตระเวนนคร แล้ว และหลวงเทพก็รับธุระเรื่องขอหย่า ตอนนี้ประพันธ์จึงกลับมาโสดอีกครั้ง
 ฉบับที่ 13
ประพันธ์มีความสุขที่ได้กลับมาเป็นโสดอีกครั้ง ส่วนแม่อุไรก็ไปอยู่กับพระยาตระเวน 
พระยาตระเวนมีนางบำเรออยู่ถึง 7 นาง และทั้งหมดก็แผลงฤทธิ์เวลาพระยาไม่อยู่ พระยาตระเวนจึงหาบ้านให้แม่อุไรอยู่อีกหนึ่งหลัง ประพันธ์ได้ย้ายตำแหน่งการทำงาน มาเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ทางเสือป่า ประพันธ์ เข้าประจำกรมม้าหลวง
ฉบับที่ 15
ประพันธ์ คิดว่างานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาคงจะสนุกมาก พระยาตระเวนก็สนุกเหมือนกัน เพราะไปไหนมาไหนเป็นชายโสด เนื่องจากพระยาตระเวนกับแม่อุไรยังไม่ได้เป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย ตอนนี้พระยาตระเวนติดผู้หญิงที่ชื่อสร้อย แต่แม่อุไรก็ยังได้แต่นิ่งเฉยไม่สามารถทำอะไรได้
ฉบับที่ 17
                ประพันธ์ ไปอยู่ที่ค่ายตอนนี้ได้เลื่อนยศเป็นนายหมู่ใหญ่ขึ้น พอกลับบ้าน แม่อุไรก็มาหาประพันธ์ที่บ้าน หล่อนมาง้อประพันธ์ให้ชุบเลี้ยงหล่อนอีกครั้ง เพราะหล่อนไม่มีที่ไป บ้านที่หล่อนเคยอยู่ พระยาตระเวนก็ยกให้แม่สร้อย จะไปหาพ่อ ก็เคยพูด อวดดีกับพ่อไว้ แต่ประพันธ์เห็นว่า    ให้หล่อนกลับไปง้อพ่อจะดีกว่า หล่อนจึงไปง้อพ่อแล้วก็ไปอยู่กับพ่อ
ฉบับที่ 18
 แม่ อุไรได้แต่งงานกับหลวงพิเศษ ผลพานิช พ่อค้ามั่งมี ประพันธ์จึงคลายห่วง   ส่วนประพันธ์ก็ได้รักชอบพอกับ นางสาวศรีสมาน ลูกสาวพระยาพิสิฐเสวก


ข้อคิดที่ได้รับ

1. พฤติกรรมของนายประพันธ์เป็นพฤติกรรมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งความถูกต้องและผิดพลาด เปรียบเสมือนกับมนุษย์ที่สามารถผิดพลาดได้ตลอดเวลา แต่อย่าลืมนำความผิดพลาดนั้นมาใช้ในการแก้ไขตนเอง และปรับทัศนคติที่ผิดอยู่ให้ดีขึ้น
2. อย่าหลงวัฒนธรรมตะวันตกจนลืมจิตสำนึกแห่งความเป็นไทย ควรเก็บสิ่งที่ดีมาปฏิบัติ แล้วเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้เป็นอุทาหรณ์ ขณะเดียวกันก็อย่าดูถูกบ้านเกิดเมืองนอนว่าหัวโบราณ
3. การแต่งงานของหนุ่มสาวที่มาจากการชอบพอกันแค่เพียงเปลือกนอก ขาดการรู้จักและเข้าใจกันอย่างแท้จริงย่อมไม่ยั่งยืนและอับปางลงอย่างง่าย ดาย
4. การใช้เสรีภาพในทางที่ผิดโดยปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนกระทั่งพลาดพลั้งชิงสุกก่อนห่ามจะต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้าย
5. คนเราควรดำเนินชีวิตในทางยุติธรรม

นิทานอีสป


-สามีผู้ใจดี-


ชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคน เขามักที่จะตามใจภรรยาทั้งสองคน อยู่เนื่องๆ เพราะความรักอันเต็มเปี่ยมที่เขามีต่อภรรยาทั้งสองคน
ภรรยาสาวนั้นอยากให้สามีวัยกลางคนของตนดูหนุ่มเเน่นตลอดเวลา จึงได้ถอนผมหงอกออกอย่างเสมอมา
ฝ่ายภรรยาที่มีอายุมากแล้วก็อยากให้สามีดูเป็นคนมีอายุเหมือนกับตนเองจึง คอยถอนผมดำออกมาเพื่อให้เหลือไว้เพียงเเต่ผมหงอกเท่านั้น
อยู่มาวันหนึ่งสามีไปส่องกระจกก็เห็นตัวเองมีศรีษะล้านไม่เหลือผมเลยซักเส้น ก็ถึงกับร้องลั่นบ้านด้วยความตกใจสุดขีด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้ที่ตามใจคนอื่นจนเกินไปนั้น ก็ไม่เหลือความเป็นตัวเอง

-วัวสามสหาย-



ครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีวัวสามตัวได้ทำการตกลงสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนตายต่อกัน
ดังนั้นวัวทั้งสามตัวจึงมักจะออกไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา เเละคอยระวังภัยให้ซึ่งกันและกันด้วย
แต่ได้มีสิงโตจ้องจะหาทางที่จะกินวัวอยู่ สิงโตจึงเเอบไปบอกกับวัวตัวที่หนึ่งว่า วัวตัวที่สองกับที่สามนั้นนินทาด่าว่าลับหลังท่าน
เเล้วสิงโตก็ไปยุเเหย่ตัวที่สองว่า วัวตัวที่หนึ่งกับที่สามคิดทำร้ายท่าน
เเล้วยุเเหย่วัวตัวที่สามในทำนองเดียวกัน
ต่อมาไม่นานวัวทั้งสามจึงเริ่มเกิดการเเตกคอกัน และเกิดความไม่ไว้ใจกันเเละกัน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างออกไปหากินกันตามลำพัง จนสิงโตมีโอกาสที่จะจับกินวัวทีละตัว ได้อย่างสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อแตกสามัคคี เมื่อนั้นความหายนะจะมาถึง

นิทานชาดก


-ดีแต่สอนคนอื่น-


   ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีผู้พร่ำสอนรูปหนึ่งมักห้ามภิกษุณีรูปอื่นๆไปในที่หวงห้ามแต่ตนเองกลับไป เป็นเหตุให้ประสบเหตุร้าย ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกป่า จ่าฝูงของนกนับร้อยตัว อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง มีนางนกจัณฑาลตัวหนึ่ง แตกฝูงไปหากินไกลถิ่น ที่ทางใหญ่กลางดง ได้เมล็ดข้าวเปลือกและถั่วที่ตกหล่นจากเกวียนชาวบ้านเป็นอาหาร เกิดความโลภอยากเก็บไว้กินผู้เดียว เมื่อกลับมาหาฝูงจึงให้โอวาทแก่ฝูงนกว่า " ธรรมดาทางใหญ่ในดงลึก มีภัยเฉพาะหน้ามาก ทั้งจากฝูงช้าง ม้าและยวดยานที่เทียมโค ถ้าไม่โผบินขึ้นได้เร็ว ก็อย่าไปที่นั้นนะ " ฝูงนกจึงตั้งชื่อให้นางนกนี้ว่า แม่อนุสาสิกา

   ต่อมาวันหนึ่ง นางกำลังหากินอยู่ ได้ยินเสียงยานแล่นมาด้วยความเร็ว ก็เหลียวดูนึกว่า ยังอยู่ไกลตัว ทันใดนั่นเอง ยานพลันถึงตัวนาง ด้วยความเร็วปานลมพัด นางไม่อาจโผบินขึ้นได้ทัน จึงถูกล้อยานทับตัวขาดเป็นสองท่อน นอนตายอยู่ตรงนั้น

   นกจ่าฝูง เมื่อไม่เห็นนางกลับมาเข้าฝูง จึงเรียกประชุมนกและให้ออกติดตามหา ไปพบนางในที่นั้น จึงกล่าวคาถาว่า
   " นางนกป่าชื่ออนุสาลิกา พร่ำสอนนกตัวอื่นอยู่เนืองนิตย์ 
 แต่ตัวเองกลับโลภจัด จึงถูกล้อรถบดขยี้ขาดเป็น ๒ ท่อน นอนอยู่ที่หนทางใหญ่ "


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
กินคนเดียวไม่อร่อย และกินได้ไม่นาน


-ลิงโลภมาก-


     ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภพระเจ้าโกศลผู้จะไปปราบกบฏชายแดน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ผู้สอนธรรมของพระเจ้าพรหมทัต ในเมืองพาราณสี ต่อมาในฤดูฝนมีกบฎเกิดขึ้นที่ชายแดน พระราชาจะยกทัพไปปราบปรามจึงตั้งค่ายไว้ที่สวนหลวง พระโพธิสัตว์ได้เข้าเฝ้าเพื่อคัดค้านแต่ยังหาโอกาสไม่ได้ ขณะนั้นพวกทหารได้นำถั่วดำอาหารม้า มาใส่ไว้ในราง มีลิงตัวหนึ่งลงมาจากต้นไม้ฉวยเอาถั่วดำจากรางนั้นใส่จนเต็มปาก แล้วยังคว้าติดมือมาอีกกำหนึ่งกระโดดขึ้นต้นไม้ไปหวังจะนั่งกิน บังเอิญมีถั่วดำเม็ดหนึ่งหลุดจากมือมันล่วงลงบนพื้นดิน มันได้ทิ้งถั่วดำทั้งหมดทั้งที่อยู่ในปากและที่มือ ลงจากต้นไม้มาหาถั่วดำเม็ดนั้น เมื่อไม่เห็นก็กระโดดขึ้นต้นไม้นั่งซึมเศร้าเสียใจอยู่บนกิ่งไม้นั้น

พระราชาทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมของลิงทั้งหมดแล้วตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า
          "ท่านอาจารย์ ดูซิ.. ลิงมันทำอะไร?" 
           พระโพธิสัตว์จึงกราบทูลว่า "ขอเดชะมหาราชเจ้า ลิงโง่ตัวนี้หากินตามกิ่งไม้ ปัญญาของมันไม่มี สาดถั่วดำทั้งหมดทิ้งเพื่อถั่วดำเม็ดเดียว เปรียบผู้โง่เขลาไร้ปัญญา ไม่มองเห็นประโยชน์ส่วนมาก มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนน้อยจึงเป็นเช่นนี้" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
          "ข้าแต่พระราชา พวกเราก็ดี ชนเหล่าอื่นก็ดีที่มีความโลภจัด จะเสื่อมจากประโยชน์ส่วนมากเพราะประโยชน์ส่วนน้อย เหมือนลิงเสื่อมจากถั่วทั้งหมดเพราะถั่วเมล็ดเดียวแท้ๆ"

พระราชาสดับถ้อยคำนั้นแล้วกลับได้สติจึงรับสั่งให้เลิกขบวนทัพเสด็จกลับเข้าเมืองพาราณสีไป ฝ่ายพวกโจรเข้าใจว่าพระราชาเสด็จออกจากเมืองมาปราบปรามก็ได้พากกันหลบหนีไปเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
จงยอมเสียสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนมากไว้


-นึกว่าง่าย-


คนไทยกับคนลาวเป็นเพื่อนกัน คนไทยนั้นมีเรืออยู่ลำหนึ่ง
มีอยู่วันหนึ่งเกิดน้ำท่วมขึ้น  คนลาวจึงนั่งไปกับเรือของคนไทย โดยคนลาวนั่งอยู่ที่หัวเรือและคนไทยนั่งอยู่ที่ท้ายเรือ และก็เป็นคนพายเรือไปด้วย
เมื่อพายเรือไปได้สักระยะหนึ่ง คนลาวเห็นว่าเรือวิ่งตรงเข้าไปหาตนไม้จนจะชนต้นไม้ คนลาวตกใจกลัวจึงร้องบอกไปว่า
“ซ้ายหน่อยๆ” คนไทยก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็ไม่ชนต้นไม้  เรือรอดผ่านไปได้
เมื่อพายต่อไปอีกสักระยะเรือก็รี่ตรงเข้าไปจะชนบ้านอีก คนลาวเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องขึ้นมาอีกว่า
“ขวาหน่อยๆ” คนไทยก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็รอดไปได้โดยไม่ชนบ้าน
คนลาวคนนั้นจึงบังเกิดความสงสัยแล้วจึงถามคนไทยขึ้นว่า “นี่เรือของเพื่อนทำด้วยอะไรนะถึงว่าง่ายอย่างนี้”
“อ๋อเรือลำนี้ขุดขึ้นจากไม้ตะเคียนนะเพื่อน” คนไทยตอบคนลาว
คนลาวได้ฟังดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านก็บอกกับเมียของตนว่า “นี่น้องไม้ตะเคียนนี่ว่าง่ายจัง
พี่อยากจะขุดเรือจากไม้ตะเคียนสักลำ ที่ข้างบ้านเรามีไม้ตะเคียนอยู่ต้นหนึ่ง
เดี่ยวพี่จะโค่นมาขุดทำเรือนะ”
เมียก็บอกกับคนลาวที่เป็นผัวว่า “มันจะทับบ้านพังหนะซิพี่”
“มันไม่ทับบ้านเราหรอก ไม้ตะเคียนมันว่าง่าย” ฝ่ายผัวรีบอธิบายสรรพคุณของต้นตะเคียนเสร็จสรรพ
ว่าแล้วคนลาวคนนั้นก็คว้าขวานไปตัดต้นตะเคียนที่อยู่ข้างบ้านในทันที ฟันไปๆจนต้นตะเคียนจวนเจียนจะขาดอยู่แล้ว
มันก็ค่อยๆเอนลงจะทับบ้าน คนลาวก็ไปยืนโบกไม้โบกมือร้องตะโกนไปว่า “ซ้ายหน่อยๆ”
ต้นตะเคียนก็ล้มลงทับหลังคาบ้านพังไปเรียบร้อย คนลาวคิดบ่นอยู่ในใจว่า
“เอ๊ะ! ทำไมต้นตะเคียนบ้านเรานี่ ถึงดื้อขนาดนี้ ทำไมไม่เหมือนต้นตะเคียนของคนไทยเลย ว่าง่ายเอาเสียมากๆ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การเข้าใจอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือการที่หลงเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ จะนำมาซึ่งความเสียหายหรือความหายนะได้
ฉะนั้น ก่อนที่จะเชื่อในอะไรก็ตาม ควรที่จะพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยใช้หลักของเหตุผลเป็นหลักก่อน


ผู้จัดทำ
นางสาวจุฬาลักษณ์  คำงาม  เลขที่ 6
นางสาวมนัญชยา    อนุเคราะห์  เลขที่ 13
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น